วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

พิมพา พรศิริ




ประวัติ

ชื่อ-สกุล : นางสาวนิตยา สุภาพ (พิมพา พรศิริ)
วัน เดือน ปีเกิด : ๑๓ มกราคม ๒๕๑๒
ชื่อบิดา-มารดา : นายเพชร-นางทองอินทร์ สุภาพ อาชีพ เกษตรกรรม
วุฒิการศึกษา : มัธยมศึกษาตอนปลาย
ภูมิลำเนา : ๑๗๔ หมู่ที่ ๗ บ้านกันกง ตำบลละหาน อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
ผลงานอัลบั้มเพลง : น้ำตา เมียซาอุ, พิมพาไถ่นาคืน, รักหนุ่มเร่หนัง, อีสานเขียว, อยากให้มีวันนั้นวันเดียว, หมอลำประยุกต์, ที่สุดของพิมพา, เสียงสะท้อนจากสาวไทย, พิมพาลีลา ๒ และกับนักร้องอื่นๆ อีกหลายชุด
รางวัลเกียรติยศ : ได้ รับประกาศเกียรติคุณผลงานดีเด่นเป็นมรดกแก่วงการเพลงลูกทุ่งไทย ผู้ขับร้องเพลงลูกทุ่งดีเด่น ผลงานเพลง "น้ำตาเมียซาอุ" เนื่องในงาน "กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ภาค ๒" ประจำปี ๒๕๓๔ จัดโดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยเข้ารับรางวัลพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

พิมพา พรศิริ : น้ำตาเมียซาอุ
"...คิดมาอุราช้ำหนัก ผัวรักไม่เคยส่งเงิน
รู้ข่าวปวดร้าวเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าเงินไม่มาถึงเมีย
พ่อแม่ผัวรับเต็มที่ เพราะเงินจากพี่ที่ซาอุดีอาระเบีย
ส่งมาให้ใช้กันนัวเนีย ส่วนลูกเมียนั่งเสียน้ำตา…"
เสียงเพลงหวานหูปนตัดพ้อต่อว่าที่ชื่อ 'น้ำตาเมียซาอุ' ของนักร้องหมอลำชื่อดัง 'พิมพา พรศิริ' ดังมาจากสเตอริโอคู่ทุกข์คู่ยากของชาวบ้านในแถบภาคอีสาน เนื้อท่อนแรกนั้นฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นเพลงลูกทุ่งทั่วไป แต่พอมาถึงช่วง 'แร็ป' หมอลำซึ่งเป็นภาษาอีสานแท้ๆ นั้น ทำเอาหลายคนที่ไม่ชิน เกิดอาการมึนตึ้บกันเป็นแถบๆ แต่สำหรับลูกข้าวเหนียว บอกได้คำเดียวว่าถูกใจหลายเด้อ

16 ปีที่แล้ว เพลง "น้ำตาเมียซาอุ" ทำให้เด็กสาววัย 16 ปี คนหนึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก ในขณะที่เพลงๆ นี้ก็กลายเป็นเพลงอมตะไปเรียบร้อยแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เด็กสาวคนนั้นเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่วัย 30 ปีเศษ แต่เธอยังเลือกที่จะเดินบนเส้นทางดนตรีต่อไป วันนี้เธอมีผลงานออกมาแล้วทั้งสิ้น 70 ชุด รวมทั้งอัลบั้มรวมฮิตด้วย

จะว่าไปแล้ว คนอีสานนั้นมีชีวิตผูกพันกับเพลงหมอลำมาตั้งแต่จำความได้ ส่วนใหญ่จะได้ยินจนชินหู และเห็นการเซิ้งมาจนชินตา เด็กเล็กๆ หลายคนหากได้ยินเสียงดนตรีทำนองหมอลำขึ้นมาเมื่อไร เป็นต้องตั้งวงเตรียมเซิ้งกันเลยทีเดียว นักร้องหมอลำที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ต่างก็เคยเป็นอย่างที่เอ่ยมาแล้วทั้ง นั้น อย่างเช่น พิมพา พรศิริ ที่เท้าความถึงอดีตหนหลังให้ฟังว่า ตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินเสียงหมอลำดังอยู่ทั่วทุกบ้านในแถบจังหวัดชัยภูมิ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ

"ตั้งแต่เด็กจำความได้ก็ได้ยินเสียงหมอลำแล้ว มันเหมือนกับเพลงหมอลำได้แทรกอยู่ในทุกอณูของคนอีสาน ลำกลอนนี่ได้ยินจนชินหู และทำให้เราซึมซับสิ่งพวกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราชอบการร้องเพลง และเวลาหมอลำไปเล่นแถวบ้าน ก็จะชอบด ูแล้วก็จะมาเลียนแบบเขาลำยังไง ฟ้อนยังไง ก็จะจำมาเล่นกับเพื่อน

พอโตขึ้นมาหน่อย จำได้ว่า เริ่มสาวแล้ว กำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ ความชอบด้านนี้ของเราก็ยังไม่หายไปไหน เวลาว่างก็จะหาหนังสือเกี่ยวกับเพลงมาอ่าน แล้ววันหนึ่งก็ไปเจอใบประกาศของโฆษกวิทยุชื่อดัง คุณลุงใหญ่ อยุธยา ที่รับสมัครศิลปินนักร้อง เราก็สนใจเลยเขียนจดหมายไปแนะนำตัว"

พิมพาเล่าต่อว่า "สาเหตุที่ส่งจดหมายไปขอสมัครเป็นนักร้องนั้น นอกจากความชื่นชอบในการร้องเพลงแล้ว อีกสาเหตุ หลักๆ เห็นจะเป็นปัญหาเรื่อง เงินทอง ที่เกิดขึ้นในครอบครัว เป็นช่วงที่พี่สาวไม่ค่อยสบาย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก เลยคิดว่า จะต้องหางานทำเพื่อหาเงินมาช่วยแม่ แต่เรื่องที่ขอสมัครเป็นนักร้องก็เงียบหายไป จวบจนเวลาผ่านไป 2 เดือน คราวนี้ก็เลยเขียนจดหมายไปหาลุงใหญ่อีกครั้ง ถามแบบอ้อนๆ ว่า

"ลุงใหญ่ลืมหนูแดง (ชื่อเล่นของพิมพา) แล้วหรือ?"

ซึ่งจดหมายฉบับนั้นเองทำให้ลุงใหญ่สงสัยว่า หนูแดง เป็นใคร และทำไมถึงเขียนมาแบบนี้ จึงสั่งให้ลูกน้องไปควานหาจดหมายฉบับก่อนๆ มา และก็ได้ติดต่อมา เพื่อให้ส่งเทปที่บันทึกเสียงร้องของพิมพาไปให้ฟัง

และนั่นจึงถือเป็นจุดกำเนิดของนักร้องหมอลำ ชื่อดัง นามว่า พิมพา พรศิริ

"มีบางช่วงที่หายไป ก็มีแฟนเพลงถามถึงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หายไหนหรอกค่ะ เป็นเพราะไปทำเพลงเฉพาะภาค ทั้งเพลงภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ซึ่งการโปรโมทก็ไม่จำเป็นต้องออกทีวี ดังนั้นจึงโปรโมทเฉพาะในท้องถิ่น ก็เลยดูเหมือนหายหน้าไป"

หลังหมดสัญญากับบริษัทเมโทรเทปและแผ่นเสียงแล้ว พิมพา พรศิริ ตัดสินใจลงทุนทำเพลงเอง โดยให้เหตุผลว่า "อยากรวย" และอยากลองเสี่ยงดู ที่สำคัญอยากทำเพลงที่ตัวเองชอบ ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า เจ็บตัวไปมากเหมือนกัน แต่ถือว่าได้ทำแล้ว ได้รู้รสชาติของมันว่าเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็คาใจไปตลอดชีวิต

ช่วงที่ดังสุดๆ พิมพา พรศิริ เคยตั้งวงดนตรีโดยมีเธอเป็นนักร้องนำ แต่ตอนนี้ก็พอเหลือทีมงานอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่หากเจ้าภาพต้องการ เธอก็จะจัดหาให้ได้ หรือถ้าจะให้เธอฉายเดี่ยว ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือเช่นกัน

พิมพาบอกว่า "เนื้อร้องในเพลงของตนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างเช่นเพลงที่โด่งดังกันมากอย่าง 'น้ำตาเมียซาอุ' แต่งขึ้นในช่วงท ผู้ชายนิยมเดินทางไปขายแรงงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียกันมาก ส่งผลให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างภรรยาต้องคอยคิดถึง และรอคอยเงินที่จะต้องส่งมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน

คล้ายๆ กับว่าเพลงคือ การบันทึกประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคว่า ช่วงนั้นเขาได้ทำอะไรกันบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ความคิดของคนช่วงนั้นๆ เป็นอย่างไร ปัจจุบันแฟนเพลงจะชอบฟังเพลงแนวอกหัก ผิดหวัง แล้วก็มีให้กำลังใจบ้าง เรียกว่าแบ่งแยกออกเป็นหลายแขนง หลายสาขา จะไม่มองในจุดเดียว อาจจะไม่เครียดมากไป บางคนก็ชอบสนุกสนานเลย เป็นอะไรที่หลายมุมมอง"

ชีวิตปัจจุบันของ พิมพา พรศิริ หากว่างจากงานเพลง เธอก็จะช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา เธอบอกว่าเธอไม่มีบ้านที่กรุงเทพฯ เพราะพ่อแม่อยากให้อยู่ด้วยกันที่จังหวัดชัยภูมิ ถ้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำงานก็อาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ซึ่งถือเป็นชีวิตที่พอเพียง และได้อยู่กับธรรมชาติ และอากาศที่บริสุทธ

ล่าสุด เราได้เห็นผลงานของ พิมพา พรศิริ ที่ทำกับบริษัทนพพงษ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในชุด "หัวใจฮำฮอน" ซึ่งเป็นลูกทุ่งอีสาน แนวสำนึกรักบ้านเกิด ส่วนอัลบั้มต่อไป กำลังจะออกมาในปลายปีนี้ อย่างแน่นอน

"ชุดล่าสุดของเรา จะเป็นเพลงแบบ นัน-สต็อปเมดเล่ย์ จุดมุ่งหมายคือ อยากจะให้ผู้ฟังมีสุขภาพแข็งแรง ด้วยการออกกำลังกาย โดยนำเพลงของเราไปเต้นแอโรบิกได้ มีท่าเต้นกระบองบ้าง ทำเป็นฟุตบอลบ้าง เรียกว่ามีหลายอย่าง ที่อยู่ในวีซีดี "อีสานแดนซ์" ก็เป็นอะไรที่สนุกสนาน ในรูปแบบของแอโรบิก" พิมพากล่าว

ไม่มีความคิดเห็น: