วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

อ้อยใจ แดนอีสาณ




ประวัติ

สงเมือง คิดเห็น หรือ อ้อยใจ แดนอีสาน เป็นชาว จ.ชัยภูมิ มีพี่น้อง 6 คน ครอบครัวมีฐานะยากจนอย่างมาก จึงไม่มีใครมีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือสักคน เธอจึงอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่ได้ ( เพิ่งจะมาเริ่มหัดอ่านหัดเขียนเอาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ) ตอนเด็ก ๆ บ้านที่อยู่นั้นก็ต้องอาศัยที่ดินข้างป่าช้าวัดสว่างอารมณ์เป็นแหล่งพักพิง รายได้หลักของครอบครัวก็ได้มาจากการทำอาชีพเผาถ่านและเดินเร่ขายไปตามหมู่ บ้านต่าง ๆ

เธอ เป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงมาก ดังนั้นเวลาหาบถ่านไปขาย ก็จะร้องเพลงไปด้วย เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ในการขายก็ว่าได้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะช่วยซื้อถ่านเพราะชอบใจในเสียงเพลง และเมื่อถูกชมบ่อย ๆ แถมถูกยุจากหลาย ๆ คนที่บอกว่าเสียงของเธอดี น่าจะไปลองสมัครเป็นนักร้อง จึงทำให้เด็กสาวขายถ่านมอมแมมอย่างเธอที่เป็นคนขี้เหร่ ตัวดำ ความรู้ก็ไม่มี เกิดความฝันเรื่องการเป็นนักร้อง

แต่เมื่อพ่อล้มป่วยและเสียชีวิต แม่ต้องแบกรับภาระหาเลี้ยงลูก ๆ ทุกคนเพียงลำพังคนเดียว อาชีพเผาถ่านขายจึงมีรายได้ไม่พอเพียงสำหรับเลี้ยงดูคนในบ้านทั้งหมด อ้อยใจจึงออกไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารโต้รุ่ง เพื่อแลกกับเงินเดือนเดือนละ
150 บาท

เมื่อเธอมีอายุประมาณ
12 - 13 ปี วงดนตรีบรรจบ เจริญพร เดินทางมาเปิดการแสดงใกล้กับที่เธอทำงานอยู่ เธอจึงไปสมัครเป็นนักร้อง แต่บรรจบ เจริญพรไม่รับ โดยบอกว่านักร้องเต็ม แต่เหตุผลที่แท้จริงอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่สวย ตัวดำ แต่หางเครื่องในวงคนหนึ่งเกิดสงสาร จึงแนะนำให้เธอหอบผ้าหอบผ่อน แอบติดรถของทางวงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯหลังวงจบการแสดง แล้วเธอจะช่วยพูดกับหัวหน้าวงเรื่องการเป็นนักร้องให้ ซึ่งอ้อยใจก็ทำตาม

เมื่อรถมาถึงกรุงเทพฯในช่วงดึก หางเครื่องคนนั้นบอกให้เธอนั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ เพราะไม่สามารถพาไปค้างที่บ้านได้ ตกลงแล้วคืนแรกในเมืองกรุงของอ้อยใจ นักร้องสู้ชีวิตต้องนอนอยู่ที่ป้ายรถเมล์

แต่ ก็ยังดีที่ในตอนสาย หางเครื่องคนนั้นมารับเธอตามที่ได้สัญญาไว้ แต่เมื่อพามาพบกับบรรจบ เจริญพร อีกครั้ง เธอก็ยังถูกปฏิเสธอยู่ดี แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่เธอยังมีที่อยู่ที่กิน เมื่อบรรจบ เจริญพร ให้เธอไปช่วยเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านในซอยบุปผาสวรรค์

แต่ ดูเหมือนว่า การทำงานเป็นคนรับใช้หัวหน้าวงของเธอจะไม่ค่อยเป็นที่ถูกใจของภรรยาบรรจบ เจริญพร เธอจึงถูกลงโทษอยู่บ่อยครั้งจากความผิดต่างๆนาๆ

ระหว่างนั้น ปรากฏว่าทางวงบรรจบ เจริญพรขาดนักร้องพอดี เขาจึงถามเธอว่าร้องเพลงได้แน่หรือเปล่า ซึ่งเธอยืนยันว่าทำได้ จากนั้นก็จึงมีการเริ่มทดลองร้องดู แต่ช่วงที่ทดสอบก็ปรากฏว่าบรรจบ เจริญพรเมาพอดี ก็เลยไม่ได้สนใจฟังเธอร้องเพลง เธอก็เลยอดเป็นนักร้อง


และ หลังจากที่ถูกนายผู้หญิงลงโทษเมื่อถูกจับได้ว่าเธอแอบเอาเสื้อผ้าของเจ้าของ บ้านมาลองสวมใส่ เพื่อสวมบทเป็นนักร้องหน้ากระจก เธอจึงตัดสินใจลาออกจากที่นั่นมาพร้อมกับชุดนักร้องชุดหนึ่งที่หางเครื่องคน ที่รู้จักให้มา โดยที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน เพราะไม่รู้จักใครเลย เงินก็ไม่มี เธอเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย และนึกน้อยใจในโชคชะตา จนเดินมาถึงสะพานพุทธ ก็คิดจะกระโดดสะพานพุทธฆ่าตัวตาย พอดีไปเจออาซิ้มหน้าตาเหมือนแม่มาห้ามไว้ เธอก็เลยกลับใจ

จาก นั้นเธอก็มาขอมาอาศัยอยู่กับอาซิ้มคนดังกล่าวที่อาศัยทำมาหากินด้วยการร้อย พวงมาลัยอยู่ใต้สะพาน โดยเธอมีหน้าที่ช่วยอาซิ้มขายพวงมาลัย แต่รู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อถูกเด็กเกเรแถวนั้นแกล้ง ก็เลยออกจากอาซิ้มมา จากนั้นเดินเข้าร้านตัดผมชายเพื่อตัดผมปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ก่อนที่จะเข้าไปขอข้าวก้นบาตรพระรูปหนึ่งที่วัดดงมูลเหล็กกินแก้หิวในค่ำคืน หนึ่ง จากนั้นก็ขออยู่เป็นเด็กวัด รับใช้หลวงพ่อรูปนั้น โดยโกหกว่า จำทางกลับบ้านไม่ได้ และเมื่อไหร่ที่จำได้ก็จะกลับบ้าน สำหรับชุดนักร้องที่นำติดตัวมาด้วย ก็นำไปฝังไว้ที่หลังวัด เมื่อถึงเวลาอาบน้ำเธอก็จะไปอาบที่ด้านหลังวัด ซึ่งเป็นที่ลับ ไม่มีคนเดินผ่าน ตอนอยู่ที่วัดไม่มีใครสงสัยเลยว่าเป็นผู้หญิง เพราะเธอไม่มีหน้าอก และรูปร่างก็ผอมดำ

เธอ อยู่ที่วัดโดยปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่นานทีเดียว จนร่างกายเริ่มโตเป็นสาว ก็จึงเริ่มรู้สึกผิดที่ไปหลอกพระ จึงคิดที่จะออกจากวัด และไปลาหลวงพ่อโดยบอกว่าคิดถึงแม่

ระหว่าง ที่ตามหลวงพ่ออกมาบิณฑบาตนั้น เธอก็พอที่จะจำถนนหนทางได้ และเล็งคาเฟ่เอาไว้แห่งหนึ่ง พอตกค่ำ อ้อยใจ ในสภาพผมสั้นเต่อ ก็เอาชุดนักร้องที่ฝังดินไว้มาแต่ง และระหว่างรอที่จะเข้าไปสมัครเป็นนักร้อง เธอได้เข้าไปถามลุงขายไข่ปิ้งหน้าคาเฟ่ว่าสวยไหม ก่อนที่ลุงจะอาสาพาเธอไปสมัครเป็นนักร้องเพราะรู้จักกับผู้จัดการหลังจากที่ ได้ฟังเสียงเพลงที่เธอร้องให้ฟัง แต่ปรากฏว่าคืนนั้นผู้จัดการไม่ยอมออกมาพบ ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะได้เห็นสภาพของเธอแล้วนั่นเอง

จากนั้นเธอก็ตระเวนสมัครเป็นนักร้องตามห้องอาหารและคาเฟ่ละแวกฝั่งธนบุรีเกือบ
10 แห่ง แต่ก็ไม่มีสักแห่งที่ตอบรับ จนมาถึงร้านสุดท้ายเป็นร้านมุงจากชื่อร้านเทพธิดาคาเฟ่ ก็ได้รับคำตอบแบบที่อื่น ๆ คือนักร้องเต็ม เหลือตำแหน่งล้างชาม เธอก็เลยตกลงรับเอาไว้ก่อน เพราะจะได้มีที่ซุกหัวนอน เธอทำอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งนักร้องขาด จึงมีโอกาสได้ขึ้นร้องเพลง เพลงแรกที่เธอร้องคือ น้ำตาเมียหลวง ของ ผ่องศรี วรนุช ตามด้วย นักร้องบ้านนอก ของพุ่มพวง ดวงจันทร์ วันนั้นเธอมีความสุขมากที่ได้จับไมค์เป็นครั้งแรก แถมได้พวงมาลัยจากแขกด้วย ในที่สุดเธอก็ได้เป็นนักร้องสมใจ และได้เงินเดือนเดือนละ 800 บาท

จาก นั้นก็ได้ไปเช่าบ้านอยู่ย่านสลัมคลองเตย และได้นำญาติพี่น้องมาอยู่ด้วย ระหว่างที่ทำงานร้องเพลงในตอนกลางคืน เธอก็ไม่ยอมปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ด้วยการเปิดกิจ การขายอาหารอีสานอย่างส้มตำไปด้วย โดยเธอใช้วิธีหาบใส่บ่าเร่ขายไปตามตลาดปีนัง แม้รายได้จะไม่มากมายนัก แต่ก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวัน ๆ

ต่อ มาก็มีคนติดต่อให้ไปร้องเพลงตามสถานที่ต่าง ๆ และมีโอกาสรู้จักกับณรงค์ รอดเจริญ ผู้บริหารบริษัทท็อปไลน์ ไดมอนด์ ซึ่งเป็นค่ายเทปชื่อดัง จึงได้รับการติดต่อให้ไปทดลองเทสต์เสียงที่บริษัท และตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย จนได้ออกเทปชุดแรกเป็นแนวหมอลำที่เธอไม่ถนัดคือ ผัวฉันหาย ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่บริษัทจะยอมเสี่ยงอีกครั้งในชุดเบรกแตกซึ่ง เป็นอัลบั้มที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลงอีสานอย่างมากในยุคนั้น ซึ่งแม้ยอดขายเทปจะพุ่ง แต่เธอบอกว่าชีวิตก็ยังจนเหมือนเดิม เพราะงานนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายคน เงินที่ได้มาก็ต้องแบ่งๆกันไป

แต่ อัลบั้มชุดต่อ ๆ มา ก็กลับไม่ดังอย่างที่คาดคิด ทำให้เกิดผลกระทบมากมายในชีวิต เนื่องจากพอยอดขายไม่วิ่ง ทำให้ไม่ค่อยมีงานร้องเพลง รายได้ที่เคยมีก็เริ่มหด แต่ภาระเลี้ยงดูคนในครอบครัวยังหนักอึ้ง ทำให้เธอจำเป็นต้องหาอาชีพเสริม เธอจึงผันชีวิตตัว เองอีกครั้งไปเป็นลูกจ้างทำอาหารกับชาวญวนอยู่ 2 ปี และต่อมาก็เป็นวิชาความรู้ที่ได้อาศัยนำมาเลี้ยงชีพอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นก็คือแหนมสดข้าวทอด
แต่ ชะตากรรมยังซ้ำเติมไม่เลิก พอขายดีจนขยับขยายจากหาบขึ้นสู่แผง สุดท้ายก็มีอันต้องระเห็จกลับไปที่จุดเดิม เนื่องจากถูกเจ้าของแผงเอาแผงคืน จึงหันไปใช้วิธีการหาบขายอีก ขายหมดประมาณ 4-5 โมงเย็น กลับมานอน ตื่นมาประมาณ 3-4 ทุ่ม ก็ออกมาวิ่งรอกร้องเพลงคาเฟ่ต่อ

อ้อยใจยังคงผลิตผลงานเพลงออกมาบ้าง แต่ไม่ได้รับการพูดถึงนัก งานรับจ้างร้องเพลงก็มีไม่มาก ปัจจุบัน เธอย้ายไปขายที่พุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็นบ้านของน้องชาย โดยเริ่มขายตั้งแต่ 5 โมงเย็น กว่าจะเลิกก็ดึก รายได้ก็แค่พออยู่ได้ แต่ก็คิดว่าดีกว่าการจะนั่งรอให้คนมาจ้างไปร้องเพลง
ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกว่าชีวิต คนเราเมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลง ไม่มีใครกำหนดชะตากรรมได้ คนทุกคนก็ย่อมมีฝัน เพียงแต่เราอย่าท้อแท้ แม้จะไม่มีงานจ้างร้องเพลงเข้ามาก็ไม่เคยคิดมากอะไร เพราะเรารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าอายุมากแล้ว แต่อาชีพนักร้องยังไงก็เป็นอาชีพที่อ้อยใจชอบและภาคภูมิใจมาก เราไม่มีความรู้อะไรมากมายแต่ทำมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: